BodyTite สลายไขมันส่วนเกิน พร้อมกระชับผิวขรุขระให้เรียบตึง

BodyTite

BodyTite คืออะไร


BodyTite คือเครื่องที่ใช้เป็นหัตถการในการสลายไขมันโดยแพทย์ในห้องปราศจากเชื้อ (ห้องผ่าตัด)  โดยเครื่องนี้จะปล่อยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency) ที่ใช้เทคโนโลยี RFAL&trade(Radio – Frequency Assisted Liposuction) ในการดูดไขมัน เทคโนโลยี RFAL&trade สามารถทำงานได้รวดเร็ว ไขมันที่ดูดออกมามีเลือดปนน้อยมาก ๆ เพราะสามารถ ห้ามเลือดไปด้วยขณะทำ เพื่อลดการสูญเสียเลือด (Coagulation) โดยใช้อุปกรณ์ (Handpiece) ที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งสามารถปรับระดับความลึก เพื่อเข้าไปทำลายเฉพาะเซลล์ไขมันบริเวณที่ต้องการโดยตรง โดยไม่ทำลายเส้นประสาทหรือเนื้อเยื่อรอบ ๆ พร้อมทั้งสามารถช่วยกระตุ้น Collagen ในชั้นใต้ผิวทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษายกกระชับ (Tightening) และเนียนเรียบตึงขึ้น ไม่เกิดปัญหาผิวขรุขระเป็นโพรงในคราวเดียวกัน



หลักการทำงาน


เทคโนโลยี RFAL&trade (Radio – Frequency Assisted Liposuction) คือ การใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radio frequency) ที่ความถี่ 1 MHz ชนิด 2 ขั้ว (Bipolar) พลังงานจากคลื่นความถี่วิทยุนี้จะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนที่เนื้อเยื่อผิว อุณหภูมิของผิวบริเวณที่ทำการรักษาจะถูกกระตุ้นให้สูงขึ้นไม่เกิน 45 °C วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยเซลล์ไขมันบริเวณที่ถูกทำลายจะสลายเป็นน้ำมัน (Melt fat) อย่างรวดเร็ว และถูกดูดออกมาอย่างง่ายดายโดยผ่านท่อขนาดเล็กที่ติดกับตัวอุปกรณ์ อาจจะมีไขมันส่วนเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ภายใน แต่ก็จะถูกกำจัดออกจากร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ


Handpiece 2 ส่วน


อุปกรณ์ (Handpiece) มี 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนอุปกรณ์ด้านนอก (External electrode) และส่วนอุปกรณ์ด้านใน (Internal electrode) ซึ่งสอดอยู่บริเวณชั้นไขมันใต้ผิว ด้วยคุณสมบัติของหัวอุปกรณ์ดังกล่าว ทำให้สามารถปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF) ไปกลับระหว่างกัน ซึ่งสามารถหลอมละลายและดูดไขมันที่เหลวให้ออกมาในคราวเดียว เนื่องจากบริเวณส่วนปลายหัว (Tip) ของ Internal electrode จะมีความหนาแน่นของพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF) ค่อนข้างสูงทำให้สามารถหลอมไขมันได้ อีกทั้งแพทย์สามารถปรับระดับความลึกตื้นได้ตามขนาดของชั้นไขมัน (ปรับได้ตั้งแต่ 5 mm. – 50 mm.) โดยระหว่างรักษาจะมีเลือดออกน้อย หลังทำการรักษาผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน และสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ

  

ประสิทธิภาพของเครื่อง BodyTite


BodyTite

บอดี้ไทต์ (BodyTite TM) สามารถกำจัดไขมันได้หลายจุด เช่น ท้อง สะโพก ก้น หลัง ต้นขา เข่า ต้นแขน คอ สีข้างและหน้าอก เป็นต้น ด้วยเทคโนโลยีนี้เอง ทำให้ระบบหลอดเลือด ระบบเซลล์ประสาท และเนื้อเยื่อข้างเคียงเกิดความเสียหายน้อยลง และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน การหดตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อชั้นบาง ๆ ที่อยู่ในผิวหนังทำให้ผิวหนังทั้งหมดกระชับขึ้นมากจนส่งผลให้เกิดการยกตัวขึ้น หลังจากทำการรักษา ลดปัญหาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นทั้งขณะทำการรักษา หลังทำการรักษา

หลังทำผู้ป่วยสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ลดผลข้างเคียงจากการดูดไขมันด้วยวิธีแบบเดิม ผลการรักษาด้วยเครื่อง BodyTite นอกจากจะช่วยกำจัดไขมันและเซลลูไลท์ (Cellulite) แล้วคลื่นความถี่วิทยุ (RF) จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน, การหดตัวของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อชั้นบาง ๆ ที่อยู่ในผิวหนังทำให้ผิวหนังทั้งหมดกระชับขึ้น ไม่หย่อนคล้อย ไม่เป็นผิวส้ม อีกทั้งยังทำให้รูปร่างได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น และมีการทำงานเพียงกระบวนการเดียว 

 

 


BodyTite

เหมาะกับใคร


  • หญิงหรือชาย ที่มีปัญหาไขมันเฉพาะจุด
  • ผู้ป่วยที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยและมีชั้นไขมันมาก
  • บริเวณที่สามารถทำการรักษาได้: บริเวณท้อง, สะโพก, หลัง, สีข้าง, ต้นขา, เข่า, ต้นแขน, คอและหน้าอก
  • บริเวณที่อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์


BodyTite

ไม่เหมาะกับใคร (ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่ทำการรักษา)


  • ผู้ป่วยที่ติดอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ (Pacemaker or internal defibrillator)
  • ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยทางด้านร่างกายและจิตใจหรือเป็นโรคไม่ชอบรูปร่างตัวเอง (Body Dysmorphic Disorder : BDD)
  • ผู้ที่มีการเจ็บป่วยบริเวณที่จะทำหัตถการ
  • ผู้ที่ได้รับยาหรือการรักษาอื่นใดที่อาจส่งผลต่อการทำหัตถการ
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์
  • ผู้ที่เพิ่งได้รับการผ่าตัดบริเวณที่จะทำหัตถการ
  • ผู้ที่มีความผิดปกติบริเวณท้องน้อย: ไส้เลื่อน (Hernia) ลำไส้อักเสบ (Ulcerative colitis) โรคโครห์น (Crohn&rsquo Disease) ปากมดลูกอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute cervicitis)
  • ผู้ที่มีประวัติเกี่ยวกับการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombophlebitis)
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อเฉียบพลัน
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลว (Heart failure)
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
  • ผู้ที่มีโลหะ

 

ผลข้างเคียงหลังทำ


อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังทำการรักษา เช่น เลือดออก (bleeding) ติดเชื้อ (infection) รอยแผลเป็น (scarring) เกิดการคั่งของเลือด (seroma) แผลผ่าตัด (incision) ผื่นแพ้ (allergic reaction) อาการไม่สบายตัว (Discomfort) และอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ให้ยาชา หากมีอาการผิดปกติ หรือข้อสงสัยหลังผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลท่านและควรมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดทุกระยะเพื่อติดตามความก้าวหน้าการรักษา


bodytite

การดูแลรักษาและข้อควรระวัง


  1. ผู้ป่วยควรรับการรักษา ควรได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์อย่างละเอียด เช่น ตรวจเลือดก่อนการผ่าตัด หรือตรวจหาความสมบูรณ์ของเลือด หรือ X-ray หรือ ประเมินความเสี่ยงของโรคบางชนิดที่สัมพันธ์กับความแข็งแรงของร่างกาย หรือ ตามดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา ก่อนทำการรักษา 2 สัปดาห์
  2. ผู้ป่วยควรงดใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดมากกว่า 2 สัปดาห์
  3. ผู้ป่วยควรสวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ในวันที่เข้ารับการรักษา
  4. ถ่ายรูป ชั่งน้ำหนัก วัดเส้นรอบวงในบริเวณที่ทำการรักษาเพื่อใช้เปรียบเทียบหลังทำการรักษา
  5. ผู้ป่วยควรโกนขนบริเวณที่จะทำการรักษาออกให้หมด หากบริเวณที่รักษามีขน
  6. ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินจากแพทย์ในบริเวณที่ทำการรักษา เพื่อวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสมและปลอดภัย
  7. หลังออกจากห้องผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการดูแลต่อเนื่องเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพรวมถึงปริมาณเม็ดเลือดแดงที่สูญเสียและการชดเชยของเหลวในร่างกายอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เมื่อเข้าสู่สภาวะปกติจึงสามารถกลับบ้านได้
  8. จำเป็นต้องใส่ผ้ายืดหรือใส่ชุดยางยืดที่แพทย์จัดให้เพื่อเพิ่มความกระชับในตำแหน่งที่ดูดไขมัน เพื่อลดและจำกัดการบวมตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน และต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  9. ควรพักผ่อนและไม่ควรทำกิจกรรมที่มีแรงกระแทกหลังจากการเข้ารักษา เช่น กระโดดในช่วง 2 สัปดาห์เนื่องจากกระทบกระเทือนแผลและเกิดการฟกช้ำได้
  10. รับประทานยาตามที่แพทย์จัดให้อย่างเคร่งครัด
  11. ควรรับประทานอาหารอ่อนและเน้นธาตุเหล็กในช่วงพักฟื้น (2 สัปดาห์แรก) เน้นกลุ่มโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน และอาหารรสไม่จัด เพื่อซ่อมแซมร่างกาย หากมีข้อสงสัยควรปรึกษานักโภชนาการ
  12. ดูแลแผลไม่ให้น้ำเข้า และไม่ให้ติดเชื้อ หลังผ่าตัดดูแลแผลตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
  13. หากมีอาการผิดปกติ หรือข้อสงสัยหลังผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลท่านและควรมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดทุกระยะเพื่อติดตามความก้าวหน้าการรักษา
  14. หลังการดูดไขมันประมาณ 2 เดือน ผู้ป่วยควรเริ่มออกกำลังกายระดับเบา และปรับการรับประทานอาหารโดยเน้นหลีกเลี่ยงบริโภคไขมันควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูสมรรถภาพและปรับสมดุลกับน้ำหนักและสัดส่วนใหม่ ซึ่งการออกกำลังกายควรเน้นเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพื่อความกระชับของกล้ามเนื้อและผิวหนัง หากมีข้อสงสัยควรปรึกษานักกายภาพบำบัด

 

ข้อมูลเพิ่มเติม:

http://www.invasix.com/BodyTite_7



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้