เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘น้ำเกลือ’ หลายคนอาจติดภาพจำว่าเป็นสิ่งที่มีไว้ฟื้นอาการผู้ป่วยหลังผ่านมรสุมโรคภัยหรืออุบัติเหตุเจ็บหนักมา ทว่าด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นได้มากกว่า ‘น้ำเกลือ’ ที่เราเห็นจนเกลื่อนตาในฉากภาพยนตร์ IV Drip หรือที่เขาเรียกขานว่า ‘การดริปวิตามิน’ เป็นหนึ่งในกระแสความงามที่โด่งดังในรอบหลายปีที่ผ่านมา
หลายครั้งที่ผู้คนมักแปลกประหลาดใจเมื่อเหล่าดาราจำนวนหนึ่งต่างให้คำตอบว่าแค่นอนหลับพักผ่อนกินวิตามินก็เพียงพอแล้วจริงหรือ? และหากเป็นการฉีดวิตามินเข้าเส้นเลือดโดยตรงล่ะ จะให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากันไหม Medisci Clinic พร้อมเคลียร์ข้อสงสัยในบทความนี้กัน
IV Drips (Intravenous Drips) หรือที่เรียกจนติดปากว่า ‘ดริปวิตามิน’ คือการฉีดวิตามินหรือสารอาหารสำคัญสู่เส้นเลือดดำผ่านทางน้ำเกลือ ซึ่งบุกเบิกโดยนายแพทย์จอห์น มายเยอร์ (John Myers) ในปี ค.ศ. 1970 ก่อนได้รับการพัฒนาเป็นสูตรการรักษาปัจจุบันเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune System) และลดโอกาสการก่อเกิดโรค เช่น ภูมิแพ้ ผืดแพ้ สารโลหะหนักเป็นพิษ โรคเรื้อรังอื่น และยังช่วยฟื้นคืนพลังให้กลับมาสดชื่น พร้อมบำรุงผิวพรรณกระจ่างใสยิ่งขึ้น
เนื่องจากการทำ IV Drip ช่วยนำพาวิตามินและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่หลอดเลือดให้นำไปใช้งานได้รวดเร็วขึ้น จึงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ไวและมีประสิทธิภาพกว่าการดื่มหรือรับประทานซึ่งได้รับวิตามินเข้าสู่ร่างกายได้ไม่เต็มที่ (ลำไส้ดูดซึมได้ไม่เกิน 4 – 6 กรัมต่อวัน) ทั้งนี้แพทย์จะใช้สูตร Vitamin Cocktail ซึ่งรวมสารอาหารและวิตามินซีในปริมาณที่สูงเพื่อช่วย
เสริมความงดงามและแข็งแรงแก่ร่างกายครบสูตร 12 มิติทั้งระยะสั้นและยาวให้คุณอยู่ยงคงชีวิตได้ตราบเท่านานภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังและบุคลากรชำนาญการ โดยแต่ละสูตรล้วนแล้วโดดเด่นมากคุณสมบัติ ดังนี้
IV Nutrition จัดเป็นโปรแกรมล้างสารพิษ (Intravenous Detoxification) ผ่านการให้วิตามิน เกลือกแร่ และสารต้านอนุมูลอิสระเข้าทางเส้นเลือดเพื่อเร่งให้ตับขจัดสารพิษได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ในระบบต่าง ๆ ด้วยไมโตคอนเดรีย (Mitochondrion) และฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ทุเลาจากการเหนื่อยล้าควบคู่กันได้มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้สูตร IV Nutrition ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่น เช่น วิตามินบีรวม เกลือแร่ แคลเซียม แมกนีเซียม ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย และยังบรรเทาโรคหัวใจ โรคซึมเศร้า ความจำเสื่อม กล้ามเนื้อกระตุก แพ้อากาศ หอบหืด ลมพิษ โรคติดเชื้อเฉียบพลัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง (Fibromyalgia)
ถัดมาเป็น IV Healthy White ซึ่งเป็นสูตรฟื้นบำรุงสุขภาพผิวและร่างกายชนิดเร่งด่วนไปพร้อมกันผ่านวิตามิน เกลือแร่และ L-Carnitine ซึ่งมีส่วนช่วยลดไขมันได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้เม็ดสีเมลานินไวต่อแสงน้อยลง ผิวกระจ่างใสขึ้นจากภายในสู่ภายนอก
IV Immune เป็น High Dose Vitamin C อีกสูตรหนึ่งที่เน้นการเสริมภูมิแบบเร่งด่วน ซึ่งหนักไปที่การใช้วิตามินซีสำหรับช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ การติดเชื้อในร่างกาย พร้อมเสริมสร้างเกราะคุ้มกันโรคไม่ให้เกิดอาการป่วยง่ายในครั้งต่อไป
ดังการศึกษาของ Dr. Mark Levine และคณะจากสถาบัน US National Institutes of Health ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ Proceedings of the National Academy of Sciences ได้ค้นพบว่าการให้วิตามินซีในระดับที่สูงผ่านทางหลอดเลือดมีส่วนยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้าง Hydrogen peroxide ให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในระดับเพิ่มยิ่งขึ้น ยังผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการก่อโรคความเสื่อม เช่น เบาหวาน ความดันเลือด และโรคมะเร็ง
IV Chelation หรือ ‘คีเลชั่น’ คือสูตรใช้วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งผสมร่วมกับ Calcium Disodium EDTA (Ethylene Diamine Tetra Acetic Acid) เพื่อขจัดสารโลหะหนักเป็นพิษสะสมตามผนังหลอดเลือดจนเกิดโรค เช่น สารตะกั่ว ปรอท สารหนู เหล็ก ทองแดง สังกะสี ร่วมกับช่วยลดโอกาสการเกิดสารต้านอนุมูลอิสระ และรักษาการอักเสบของผนังหลอดเลือดให้ยืดหยุ่น ไหลเวียน โดยไม่ก่อผลข้างเคียงร้ายแรง นอกจากนี้ IV Chelation ยังใช้เสริมการรักษาโรคต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น สารพิษตกค้างอื่น ภูมิแพ้ ปวดข้อ โรคหลอดเลือดจากผลแทรกซ้อนของเบาหวาน
นอกเหนือไปจากดริปวิตามินทั้ง 4 สูตรที่กล่าวไปข้างต้น เรายังมีอีกสูตรเพิ่มความสดชื่นอย่าง NAD+ IV Therapy ไว้ตอบโจทย์ผู้มีปัญหาอ่อนเพลีย หลงลืมบ่อยได้อย่างดี ไม่ว่าเป็นผู้สูงวัยหรือคนหนุ่มสาวก็ทำได้ไม่มีปัญหา
แม้ IV Drip จะให้การรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง ทว่าการรักษาดังกล่าวอาจก่อผลข้างเคียงบางประการที่ต้องเฝ้าสังเกตภายใต้การดูแลของแพทย์ชำนาญการดังต่อไปนี้
สำหรับรักษาเวลารักษาและการคงสภาพหลังทำขึ้นอยู่กับระบบดูดซึมในร่างกายของแต่ละคน ทั้งนี้จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับสูตรและเทคนิคของแพทย์ร่วมด้วย
โดยทั่วไปแล้วการดริปวิตามินจะอยู่ที่ 1 – 2 ครั้ง/สัปดาห์ กระทั่งถึง 1 - 2 ครั้ง/เดือน อย่างไรก็ตาม เพื่อการรักษาดังกล่าวสะดวกยิ่งขึ้น ควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อออกแบบแผนการรักษาที่ตอบโจทย์เฉพาะรายบุคคล
เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US-FDA: Food and Drug Administration) และได้รับปรับใช้เพื่อเสริมสุขภาพและความงามมายาวนาน ทว่าก็อาจก่อเกิดความเสี่ยง เช่น การเกิดอาการแพ้ อาการบวมแดงใต้ผิวหนัง ลิ่มเลือด
จะสามารถทำเองได้จากที่บ้าน ทว่าเหล่านี้ก็ต้องทำมีผู้ดูแลที่ชำนาญเฉพาะด้านช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้การรักษาด้วยที่มีประสิทธิภาพ ควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ชำนาญการในคลินิกหรือสถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจนวางใจได้ตลอดระยะเวลารักษา
อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยเป็นโรคไต ผู้ที่มีความดันเลือดสูง มีสภาพหัวใจหรืออวัยวะที่ไม่อาจทนรับวิตามินความเข้มข้นสูงได้ในครั้งเดียว