มะเร็งผิวหนัง
ปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายในอันดับแรกของคนไทย มะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมะเร็ง หมายถึง เซลล์เนื้อร้ายที่เปลี่ยนแปลงมาจากเซลล์ปกติของร่างกาย โดยเซลล์เนื้อร้ายนี้จะมีการเจริญเติบโตและแพร่กระจายไปอยู่รอบด้านของเซลล์ปกติอย่างรวดเร็ว โดยที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้เกิดเป็นก้อนหรือเป็นแผลมะเร็งขนาดใหญ่ การแพร่กระจายเช่นนี้ทำให้มีเลือดออกจากการทำลายหลอดเลือดหรือเกิดการเน่าตายของเซลล์มะเร็งจากการที่ก้อนมะเร็งโตเร็วมากจนขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงในที่สุดจะทำให้สูญเสียเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้นไป
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงมะเร็งผิวหนัง ซึ่งผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีโอกาสเป็นมะเร็งได้มากเนื่องจากผิวหนังทำหน้าที่ปกคลุมและป้องกันอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนั้นผิวหนังจึงมีโอกาสเผชิญกับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด สารพิษและสารเคมีต่างๆ โดยส่วนใหญ่มะเร็งผิวหนังมักเป็นที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว พบมากในผู้สูงอายุ 40 – 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันมักพบผู้ที่เป็นมะเร็งผิวหนังอายุน้อยลงเรื่อยๆ
สาเหตุของมะเร็งผิวหนัง ได้แก่
มะเร็งผิวหนังที่พบบ่อย มี 3 ชนิด คือ
การตรวจวินิจฉัย
เราควรหมั่นสำรวจร่างกายตนเองอย่างละเอียด โดยการส่องกระจก ดังนี้
หากตรวจพบก้อนเนื้อผิดปกติตามร่างกาย ควรปรึกษาแพทย์และเมื่อแพทย์วินิจฉัยและสงสัยว่าอาจจะเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ และถ้าพบว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง แพทย์จะตรวจพิเศษเพิ่มเพื่อดูการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งว่ามีลุกลามไปยังอวัยวะอื่นหรือไม่
การป้องกัน
การรักษา แพทย์ผิวหนังจะวินิจฉัยและพิจารณาเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับรอยโรคของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่
ผลข้างเคียงของการรักษา
หลักสำคัญของการรักษา คือ เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลล์มะเร็งจะถูกทำลาย และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่
นอกจากนี้ควรตรวจติดตามผลโรคมะเร็งผิวหนังตามแพทย์นัดอย่างเคร่งครัด และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย หากพบอาการผิดปกติอย่าเพิกเฉย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและวินิจฉัยอย่างละเอียดว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่ หรือมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นหรือไม่ อาการผิดปกติเหล่านี้ ได้แก่