คุยกับหมออัจจิมา: โบท็อกซ์คืออะไร มีกี่ประเภท และข้อควรระวัง

โบท็อกซ์

ว่าด้วยเรื่องของการทำสวย ไม่ได้จำกัดเฉพาะในหมู่ผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็พากันฉีดโบเพื่อปรับรูปหน้า ทำหน้าเรียว ตาโต จมูกสวย จากที่สถาบันโรคผิวหนังได้ทำการเก็บสถิติ พบว่าปัจจุบันเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 19-20 ปีขึ้นไป เริ่มมีการฉีดโบกันแล้ว ในระยะเวลาช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จากเดิมที่มีสถิติการฉีดโบมีประมาณ 10 คนต่อเดือน แต่ปัจจุบันนี้ มีการฉีดโบเพิ่มสูงถึง 100 คนต่อเดือน เด็กที่มารับการฉีดโบก็มีอายุน้อยลงเรื่อย ๆ เพราะอยากเป็นดารา เน็ตไอดอล กลายเป็นว่ากระแสการฉีดโบนั่นยิ่งเป็นที่นิยมมาก


โบท็อกซ์ คืออะไร


โบท็อกซ์ (Botulinum toxin) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม ช่วยให้กล้ามเนื้อเฉพาะส่วนนั้น ๆ ผ่อนคลายลงจึงส่งผลให้ลดเรือนริ้วรอยที่ไม่พึงประสงค์หายไป นอกจากนี้ยังสามารถฉีดบริเวณกล้ามเนื้อกราม โดยลดขนาดของกล้ามเนื้อกรามให้เล็กลงเพื่อใช้ในการปรับรูปหน้า ปรับโครงสร้างของหน้า ปรับรูปจมูก คางหรือดวงตา สารโบที่นำเข้ามาจากประเทศอเมริกานั้น จะมีราคาสูงทำให้คนที่มีความสามารถในการฉีดโบจากประเทศอเมริกาจำกัดไว้ในผู้ใหญ่ที่มีรายได้สูง แต่ในช่วงเวลาประมาณ 4-5 ปีที่แล้วได้มีการนำเข้าของสารโบที่มาจากประเทศเกาหลี และประเทศจีนซึ่งมีราคาถูกกว่ามาก ทำให้เด็กวัยรุ่นมีความสามารถที่จะฉีดโบได้ส่งผลให้สถิติการฉีดโบนั้น เพิ่มขึ้นสูงมาก

ถึงแม้ว่าการฉีดโบจะช่วยในเรื่องการปรับรูปหน้า หรือลดริ้วรอยได้ดี แต่ในเด็กที่มีอายุน้อยก็มีผลในระยะยาว ซึ่งหากทำการฉีดโบไปซ้ำ ๆ หรือฉีดในปริมาณที่มาก ๆ อาจจะส่งผลให้กล้ามเนื้อในบริเวณนั้นไม่ทำงานโดยถาวร โดยเฉพาะ ถ้าไปเลือกใช้สารโบที่ไม่มีความบริสุทธิ์เพียงพอ มีคุณภาพต่ำ อาจมีอาการที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อตัวโบ จนทำให้การฉีดโบไม่มีประสิทธิภาพหรือได้ผลน้อยลง

 

การฉีดโบท็อกซ์ ข้อห้ามและข้อควรระวังสำหรับคนบางกลุ่ม


ดังนั้น การเลือกใช้โบท็อกซ์ที่มีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งควรฉีดสารโบในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับได้รับการรักษาจากแพทย์ชำนาญการฉีด เพราะหากฉีดไม่ถูกจุด หรือฉีดในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ทำให้หน้าแก่ลง คิ้วตก รูปหน้าเบี้ยว หรือแม้กระทั่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การฉีดโบนั้นยังสงวนไว้ในคนบางกลุ่มที่ไม่ควรฉีดอีกด้วย เช่น

  1. คนที่มีประวัติการแพ้ หรือภูมิต้านทานที่ผิดปกติ ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำการฉีด
  2. คนที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เพราะโบจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท อาจจะส่งผลไปถึงทารกในครรภ์ได้
  3. คนที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรคระบบประสาท หรือโรคประจำตัวอื่น ๆ ซึ่งโรคเหล่านี้อาจมีการรับประทานยาปฏิชีวนะบางอย่างที่ทำปฏิกิริยากับสารโบที่ใช้ฉีดได้ เพราะฉะนั้นต้องแจ้งแพทย์เรื่องยาที่รับประทานก่อนทำการฉีด

 

โบท็อกซ์

การเตรียมตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์


  1. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะมีผลต่อการแข็งตัวของเลือดทำให้มีอาการเขียวช้ำได้ง่าย
  2. ละการทานยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา โสม ใบแปะก๊วย หรือยาแก้อักเสบหรือแอสไพรินก่อนทำการฉีด 1 อาทิตย์

 

การดูแลรักษาหลังจากการฉีดโบท็อกซ์


  1. ไม่ควรแต่งหน้า ทำการสัมผัสหน้าแรง ๆ หรือสัมผัสหน้าเยอะ ๆ เป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง เช่น การทารองพื้น ทาแป้ง เขียนคิ้ว อาจมีผลทำให้โบเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่เราไม่ต้องการ ก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้นได้
  2. ไม่ควรนอนราบ หลังฉีดโบประมาณ 4-6 ชั่วโมง
  3. หลังฉีดโบอาจมีการบริการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณนั้น เพื่อทำให้สารโบซึมลงไปในตำแหน่งที่เราต้องการรวมถึงทำให้ออกฤทธิ์ได้รวดเร็วขึ้น
  4. งดทานยา และอาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอีกประมาณ 1 อาทิตย์หลังจากการฉีด เพื่อลดปัญหาของรอยเขียวช้ำ
  5. ควรใช้สบู่ล้างหน้าที่มีความอ่อนโยนและควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
  6. ควรไปพบแพทย์ตามที่ได้มีการนัดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้มีการติดตามผลหลังจากการฉีด

 

หลังฉีดโบตัวยาจะออกฤทธิ์เต็มที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์แรก และฉีดครั้งหนึ่งจะอยู่ได้นานประมาณ 4-5 เดือน ตัวโบก็จะค่อย ๆ สลายไป ดังนั้นคุณจึงต้องกลับมาฉีดซ้ำอีก

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก่อนที่คิดจะวางแผนทำการฉีดโบ เราควรต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ และเช็กความพร้อมของร่างกายตัวเอง จะได้สวยอย่างถูกใจ และปลอดภัยด้วย


 

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้