โปรแกรมการรักษาโรคสะเก็ดเงินแบบครบวงจร (Psoriasis)

โรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงินหรือเรื้อนกวาง (Psoriasis)


โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) คือโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นปื้นหนานูนแดง ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงินซึ่งสะเก็ดนี้เป็นเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว หากผู้ป่วยมีการแกะหรือเกาจะยิ่งทำให้สะเก็ดหนาตัวมากขึ้น โดยขอบเขตของผื่นจะแยกจากผิวหนังปกติอย่างชัดเจน อาจมีการอักเสบทำให้มีอาการบวม แดง คัน เป็นขุยหรือมีตุ่มหนองได้ มักพบบริเวณข้อศอก หัวเข่า หนังศีรษะ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แขน ขา ก้นกบ เล็บ

นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินประมาณ 5-10% อาจจะมีข้ออักเสบได้ โดยจะมีอาการปวดข้อบริเวณข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า หรือกระดูกส่วนหลังได้ มักเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่บางรายอาจจะมีอาการแบบเฉียบพลันได้

โรคสะเก็ดเงิน พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป พบได้ในทุกเพศทุกวัย อายุตั้งแต่ 11-45 ปี ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยเป็นช่วงวัยรุ่น โรคสะเก็ดเงินนั้นเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่เป็นโรคติดต่อ จึงไม่สามารถติดต่อจากการสัมผัส การหายใจหรือการรับประทานอาหารร่วมกัน

โรคสะเก็ดเงินเกิดจากความผิดปกติของระบบการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ผิว โดยเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าจะมีการแบ่งตัวเร็วกว่าปกติถึง 1000 เท่า และเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาที่ชั้นผิวนอก จาก 21 - 28 วัน เป็น 2 - 6 วัน โดยทั่วไปเซลล์ผิวจะใช้เวลาแบ่งตัวและเจริญเติบโตเข้าแทนที่เซลล์เดิมที่ตายไปในทุก ๆ 21-28 วัน แต่ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินเซลล์ผิวจะแบ่งตัวเร็วมากเป็นทุก ๆ 2 - 6 วัน จึงทำให้ผิวเกิดการหนาตัวขึ้นเป็นปื้น นอกจากนี้หลอดเลือดแดงในชั้นหนังแท้เกิดการขยายตัว จึงทำให้ผิวเกิดผื่นแดง และเซลล์ผิวหนังยังขาดแรงยึดเหนี่ยว จึงทำให้ผิวชั้นนอกสุดเกิดการหลุดลอกออกเป็นแผ่นหรือเป็นขุยได้ในบางราย


โรคสะเก็ดเงิน

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน


ปัจจุบันสาเหตุที่แท้จริงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่สาเหตุทั่วไปมีดังนี้

  • พันธุกรรม โรคสะเก็ดเงินเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมและสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โดยถ้าพ่อหรือแม่เป็นสะเก็ดเงินเพียงคนเดียว ลูกจะมีโอกาสเป็นประมาณ 1% แต่ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นสะเก็ดเงิน ลูกจะมีโอกาสเป็นเพิ่มมากขึ้นถึง 41% และพบว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน จะมีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนในครอบครัวที่ป่วยเป็นโรคนี้เช่นเดียวกัน
  • ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย พบว่าผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินอาจมีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ตอบสนองต่อองค์ประกอบของผิวหนัง โดยปกติเซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell จะทำหน้าที่ปกป้องเซลล์และทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคต่าง ๆ แต่ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินนั้น T-cell จะถูกกระตุ้นให้หลั่งสาร Leukotrienes ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนัง และกระตุ้นเซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าให้มีแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเร็วกว่าปกติ ทำให้ผิวเกิดปื้นหนา
  • การย่อยและการดูดซึมสารอาหารโปรตีนของลำไส้เล็กบกพร่อง ทำให้มีกรดอะมิโนจำนวนมากมายตกค้างอยู่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรียในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดสารพิษหลากหลายชนิด เช่น สารโพลีเอมีน ซึ่งส่งผลให้เซลล์มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
  • การทำงานของตับบกพร่อง หากตับไม่สามารถกำจัดสารพิษที่มีอยู่ในร่างกายได้ ก็จะทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยสารพิษ ซึ่งจะทำให้อาการของโรคสะเก็ดเงินกำเริบและเป็นมากขึ้นได้สาเหตุจากภายนอกร่างกาย

โรคสะเก็ดเงิน

สาเหตุจากภายนอกร่างกาย เป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้โรคกำเริบและเป็นเรื้อรัง ได้แก่


  • ความเครียด หากผู้ป่วยมีความเครียด ได้รับความกระทบกระเทือนหรือความกดดันทางจิตใจ อาจทำให้อาการของโรคกำเริบและเป็นมากขึ้นได้
  • การบาดเจ็บของผิวหนังหรือผิวหนังมีบาดแผล เช่น มีรอยแกะ เกา ขีด ข่วน ผิวไหม้แดด ดังนั้นหากผู้ป่วยโรคะเก็ดเงินถูกของมีคมบาด ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือเกิดแม้แต่รอยถลอกเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดผื่นที่บริเวณนั้นได้โรคติดเชื้อบางชนิด เช่น อาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโทค็อกคัส
  • การแพ้ยาบางชนิด เช่น ยาคลอโรควิน ยาปิดกั้นเบตา ลิเทียม ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
  • การแพ้อาหารบางชนิด พบว่าการหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่แพ้ ช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงินดีขึ้นได้
  • การดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์สามารถทำลายเยื่อบุของทางเดินอาหารได้ ทำให้สารพิษสามารถผ่านเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ง่ายขึ้น และยังทำให้ตับทำงานบกพร่องไม่สามารถกำจัดสารพิษได้ตามปกติ เมื่อร่างกายมีสารพิษมากขึ้น จะทำให้อาการของโรคแย่ลง
  • การสูบบุหรี่ สารนิโคตินในควันบุหรี่จะกระตุ้นให้เกิดผิวหนังอักเสบและทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้
  • การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจะขาดวิตามินเอ วิตามินบี เกลือแร่ สังกะสี และกรดไขมันบางชนิด
  • การได้รับสารพิษหรือสารเคมีต่าง ๆ เช่น ผงซักฟอก ยาจีน ยาหม้อ ยาสเตียรอยด์บางชนิด อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง


โรคสะเก็ดเงิน

แล้วจะรักษาโรคสะเก็ดเงินได้อย่างไร


โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคที่รักษาแล้วไม่หายขาด ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื้อรัง จะเป็น ๆ หาย ๆ แต่สามารถรักษาให้โรคสงบได้ โดยระยะเวลาที่โรคสงบพบได้ตั้งแต่ 1 – 54 ปี อาการของผู้ป่วยแต่ละคนจะดีขึ้นเร็วเพียงใดขึ้นกับการปฏิบัติตัวของแต่ละบุคคล ดังนั้นเป้าหมายของการรักษาจึงมุ่งเน้นบรรเทาอาการของผู้ป่วยให้ทุเลาลง และมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

โปรแกรมการรักษาโรคสะเก็ดเงินแบบองค์รวม เป็นวิธีการรักษาที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร อาหารเสริม การทาครีมสมุนไพร การออกกำลังกาย การล้างพิษด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาทา การใช้แสง หรือการรับประทานยา การรักษาแบบองค์รวมถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้ในการรักษาและบรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงิน ดังนี้

  1. พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรค เช่น
    • หาวิธีจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล ด้วยการนั่งสมาธิ ฝึกกำหนดลมหายใจ หรือทำงานอดิเรกที่ชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนัง ฯลฯ และควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    • ไม่แกะหรือเกาผิวหนัง และระวังไม่ให้ผิวหนังเกิดบาดแผล
    • ไม่สูบบุหรี่ หรือดมควันบุหรี่ เนื่องจากสารนิโคตินในควันบุหรี่จะกระตุ้นให้เกิดผิวหนังอักเสบและทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองได้
  2. ทาครีมที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร เช่น สารแคปไซซินจากพริก ว่านหางจระเข้ รากชะเอม คาโมมายล์ จะช่วยลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด แดง คันในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินได้
    • ควรเลือกรับประทานอาหารจากธรรมชาติที่ปราศจากสารเจือปน ทั้งสารแต่งสี กลิ่น รส สารกันบูด
    • ควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ โดยเฉพาะแอปเปิล เบอร์รี มะเขือเทศ หัวหอม บรอกโคลี ปวยเล้ง และแคร์รอต ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด จึงช่วยลดบรรเทาอาการอักเสบได้ และยังอุดมด้วยเส้นใยอาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ ลดปัญหาการท้องผูก และช่วยเร่งการกำจัดสารพิษไม่ให้ตกค้างในร่างกายได้
    • อย่ารับประทานอาหารซ้ำซาก ควรรับประทานให้หลากหลายชนิด และหมุนเวียนไม่ให้ซ้ำกันทุกวัน โดยไม่ควรรับประทานอาหารชนิดนั้น ๆ ภายใน 3-4 วัน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแพ้อาหารอีก ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารหลายชนิด ช่วยลดจำนวนสารเคมีเติมแต่งอาหารที่ได้จากอาหารที่ทานซ้ำ ๆ
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้ ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ทราบว่าเป็นโรคสะเก็ดเงินจากการแพ้อาหารเรื้อรัง ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจว่าแพ้อาหารชนิดใดจากการเจาะเลือด และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้อย่างเคร่งครัด เนื่องจากการรับประทานอาหารที่แพ้ จะทำให้มีการอักเสบของผิวหนัง และอาการของโรคสะเก็ดเงินแย่ลงได้
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารรสจัด หวานจัด น้ำอัดลม กาแฟ อาหารที่เป็นกรด เช่น มะเขือเทศ ส้ม มะนาว เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะกระตุ้นให้อาการของโรคสะเก็ดเงินกำเริบได้
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารจำพวกสัตว์เนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ข้าวสาลี (Wheat) เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานที่มีส่วนประกอบของข้าวสาลี (Wheat) ข้าวโพด และไข่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักแพ้อาหารเหล่านี้ เมื่องดรับประทานอาหารเหล่านี้แล้วผู้ป่วยมักจะมีอาการดีขึ้น
    • รับประทานปลาทะเลที่มีโอเมกา-3 สูง ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาเฮอร์ริ่ง ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อช่วยบรรเทาอาการอักเสบของผื่นผิวหนัง
    • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพออย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยเร่งการขับถ่ายสารพิษและช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ไม่ลอกเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย

โรคสะเก็ดเงิน

รับประทานอาหารเสริมร่วมกับออกกำลังกายช่วยทุเลาอาการได้เช่นกัน


ซึ่งอาหารเสริมที่ช่วยบรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงิน ได้แก่

  • วิตามินเอ ควรรับประทานในรูปของเบตาแคโรทีนซึ่งเป็นฟอร์มของวิตามินเอที่มีความปลอดภัยสูง ช่วยลดการสร้างสารพิษโพลีเอมีน จึงช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ได้
  • วิตามินบีรวม ได้แก่ วิตามินบี 1, บี 5, บี 6, บี 12, โฟเลต จำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ ช่วยซ่อมแซมผิว สมานบาดแผล ช่วยลดการติดเชื้อ จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงินได้
  • วิตามินซี เควอเซติน วิตามินอี และสารสกัดจากกระดูกอ่อนปลาฉลาม ช่วยลดการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงช่วยลดความรุนแรงและลดอาการอักเสบ บวม แดง คันของผิวหนังในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินได้
  • วิตามินดีในรูปของวิตามินดี 3 ช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell จึงช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิว
  • Milk Tristle มีสารฟลาโวนอยด์ที่ชื่อว่า Silymarin มีฤทธิ์ในการปกป้องตับจากการถูกทำลายจากสารพิษหรือยาต่าง ๆ ช่วยซ่อมแซมเซลล์และฟื้นฟูเซลล์ตับให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ โดยการลดการสร้างสาร Leukotrienes ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและลดการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวได้ด้วย
  • Fumaric acid ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว T-cell ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิวในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินได้เป็นอย่างดี
  • น้ำมันปลา ประกอบด้วยกรดไขมันกลุ่มโอเมกา-3 ที่เรียกว่า EPA และ DHA ซึ่งกรดไขมัน EPA ช่วยยับยั้งการสร้างสาร Leukotrienes ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ จึงช่วยลดการอักเสบ ลดการแบ่งตัวของเซลล์ผิว นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการของข้ออักเสบในผู้ป่วยที่เป็นข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงินได้
  • น้ำมันเมล็ดลินิน (Flaxseed oil) ประกอบด้วยกรดไขมันกลุ่มโอเมกา-3 ที่ช่วยยับยั้งการสร้างสารอักเสบ จึงช่วยลดการอักเสบได้ และยังช่วยบรรเทาอาการของข้ออักเสบในผู้ป่วยที่เป็นข้ออักเสบจากโรคสะเก็ดเงินได้
  • น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมกา-6 ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และลดการอักเสบของผิวได้
  • เกลือแร่ สังกะสี ช่วยในการสมานบาดแผล และเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  • เอนไซม์ช่วยย่อย เช่น Amylase, Lipase, Protease, Bromelain ฯลฯ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบย่อยอาหาร ช่วยให้สามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น จึงช่วยลดการเกิดสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรง จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคสะเก็ดเงินได้
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การวิ่ง จะช่วยเร่งการขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้อาการของโรคสะเก็ดเงินดีขึ้น

 

โรคสะเก็ดเงิน

โปรแกรมล้างพิษทางเลือกสำหรับบำบัดโรคสะเก็ดเงิน


  1. ล้างพิษทางหลอดเลือด ได้แก่
    • คีเลชั่นบำบัด คือ การล้างพิษด้วยการทำคีเลชั่น โดยการใช้ EDTA (Ethylene Diamine Tetra Acetic Acid) ผสมกับวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระทางหลอดเลือดดำ เพื่อเข้าไปกำจัดสารโลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น สารตะกั่ว ปรอท สารหนู รวมถึงสารโลหะหนัก ได้แก่ ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี ที่แม้ว่าจะเป็นสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากมีการสะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดก็อาจทำให้เกิดโรคได้ การทำคีเลชั่นยังช่วยลดปริมาณการเกิดสารอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ สามารถใช้คีเลชั่นบำบัดเสริม

    • การรักษาโรคสะเก็ดเงินได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการผิวหนังอักเสบ ผื่นเรื้อรัง คันและบวมแดงได้เป็นอย่างดี สาร EDTA มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากร่างกายสามารถกำจัดสารชนิดนี้ได้ในเวลา 48 ชั่วโมง โดยขับออกมาทางปัสสาวะ ไม่มีการสะสมในร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง นอกจากในบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ระคายเคืองผิวหนัง ท้องเสีย เหนื่อยง่ายในช่วงแรก ๆ ของการทำ

    • ออกซิเจนบำบัด (H.O.T.) คือ การใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์ผสมกับเลือดและผ่านขบวนการของรังสีอัลตราไวโอเลต ทำให้เม็ดเลือดมีความอ่อนตัวสูง สามารถไหลผ่านหลอดเลือดได้อย่างสะดวก สามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์และฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยสมานบาดแผล จึงช่วยบรรเทาและรักษาอาการของโรคสะเก็ดเงินที่เป็นเรื้อรังได้ โดยปราศจากผลข้างเคียงที่ร้ายแรง ยกเว้นบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย เป็นไข้ ตัวสั่น เนื่องจากเกิดการกำจัดพิษในร่างกาย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ช่วงวันแรก ๆ ของการทำ จากนั้นอาการจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาในการทำ ประมาณ 1/2 ชั่วโมง/ครั้ง สำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งติดต่อกัน 3 สัปดาห์ จากนั้นควรทำสัปดาห์ละครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ เป็นทุก ๆ 2 เดือน
    • Hyperoxidative Therapy คือ การล้างพิษด้วยการให้ H2O2 (Hydrogen peroxide) โดยทั่วไปแล้ว H2O2 สามารถถูกสร้างในทุก ๆ เซลล์ มีหน้าที่ช่วยควบคุมการสร้างพลังงาน กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยทำลายเชื้อไวรัส เชื้อราและยีสต์ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอุดตันของหลอดเลือด ลดอาการปวดเรื้อรัง จึงใช้รักษาและบรรเทาอาการปวด ผื่นอักเสบ บวมแดงของโรคสะเก็ดเงินได้ การล้างพิษด้วยการให้ H2O2 มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากร่างกายเรามีเอนไซม์ catalase ที่ช่วยเปลี่ยน H2O2 ให้เป็นออกซิเจนและน้ำได้
  2. ล้างพิษด้วยการอบตัวโดยแสง INFRARED SAUNA เป็นเครื่องที่ใช้ความร้อนจากคลื่น Infrared ซึ่งสามารถผ่านชั้นผิวหนังได้ลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการสะสมของสารพิษ และยังทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ช่วยเร่งการขับเหงื่อและสารพิษออกจากร่างกายทั้งโลหะหนัก สารเคมี และสารพิษที่ละลายในไขมันให้ออกมากับเหงื่อ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น จึงช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบ ผื่นเรื้อรัง คันและบวมแดงได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบ ปวด บวมของข้อสำหรับผู้ที่เป็นข้ออักเสบจากสะเก็ดเงิน ถือว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยสูง ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ เนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย มีการใช้ทั่วไปในโรงพยาบาล เช่น ตู้อบเด็กทารกแรกเกิด ไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง แต่หลังทำอาจรู้สึกผิวแห้งและหยาบกร้านสักระยะหนึ่ง จึงควรทาโลชั่นและดื่มน้ำมาก ๆ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการทำ


 



Exosome

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้